กว่าจะเป็นลำเรือ
โดย กฤษฎา บุษบรรณ

ชาวอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ได้รักษาประเพณีอันโบราณกาลมามิได้ขาด ทุกๆปีจะมีประเพณีการแข่งขันเรือยาวขึ้นโขนชิงธง แต่ก่อนที่จะเป็นเรือแข่งของชาวหลังสวนนี้น ชาวบ้านที่รักในประเพณีต้องใช้ความพยายามนานาประการ กว่าจะได้เรือแต่ละลำขึ้นมา
การสร้างเรือจะต้องเริ่มต้นด้วยการบวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขาเพื่อขอไม้อันเป็นมงคลนามมาทำเรือสำหรับแข่ง พร้อมกันนั้นผู้สร้างเรือก็จะเดินทางเข้าป่าไปนับเป็นแรมเดือนด้วยการหาต้นไม้ ที่มีลำต้นตรงและไม่มีตำหนิที่ใดเลย และไม้นั้นจะต้องเป็นไม้ตะเคียนทอง เมื่อพบไม้ตะเคียนทองตามความต้องการที่กำหนดความยาวและใหญ่เล็ก ก็จะบวงสรวงขอษมาลาโทษแด่แม่นางไม้และเจ้าป่าเจ้าเขา ให้นางไม้ได้ไปสถิตอยู่ ณ ที่อื่น หรือไม่ก็อำลาไพรไปกับด้วยกันกับต้นไม้ แต่ส่วนมากแล้วไสยเวทย์มักจะทำพิธีเชิญให้ไปอยู่ที่อื่น หรือไม่ก็ฝากไว้กับเจ้าป่าเจ้าเขา มิฉะนั้นก็จะตั้งศาลให้อยู่ ทั้งนี้บางครั้งนางไม้ไม่ยอมไป หากแต่เมื่อโค่นต้นลงแล้ว เมื่ออำลาป่าด้วยการชักลากและถากให้แห้งขุดเป็นเรือ กว่าจะนำออกมาจากป่าได้ก็ร่วมปี บางครั้งในเวลากลางคืนช่างขุดเรือก็จะพบกับนางไม้ยังนั่งอยู่ที่เรือที่ยังขุดไม่เสร็จแล้วก็มี ในยามเดือนหงายจะพบอย่างจะแจ้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ช่างขุดเรือจะรีบขุดแล้วนำออกจากป่ามาไว้ที่วัดแล้วทำพิธีเชิญให้กลับไปอยู่ป่าเสีย บางทีกลางคืนหลังจากพิธีไล่แล้วจะได้ยินเสียงร้องไห้อย่างโหยหวนเสมือนหนึ่งได้รับความบอบช้ำ จากการถูกโบยอย่างหนัก และจะจากเรือนั้นไปทันที เช่นเดียวกัน เรือบางลำอาจให้เวลาตั้ง ๑ ปีจึงจะสำเร็จ
จากนั้นเมื่อได้ฤกษ์งามยามดีก็จะได้ทำพิธีอัญเชิญแม่ย่านางเรือเข้าประทับเรือ พิธีการจะเริ่มต้นด้วยหัวหมู บายศรี และเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆ ตามพิธีทางไสยศาสตร์ เพราะชาวเรือจะถือว่าการได้แม่ย่านางเรือที่ดีนั้น จะนำชัยชนะเป็นสิริมงคลมาสู่เรือของตน พร้อมกันนั้นแพรพรรณผ้าหลากสีจะถูกนำมาผูกพันเข้ากับโขนเรือเป็นอันดับแรกเสียก่อนแล้วเชิญแม่ย่านางเรือขึ้นประทับ ฉะนั้นโขนเรือแข่งจึงจัดว่าเป็นที่เคารพของชาวฝีพายทั้งหลาย
ครั้งเมื่อทำการตบแต่งเรืออัญเชิญแม่ย่านางเรือประทับเรียบร้อยแล้วนั้น ความจริงแล้วถึงแม้จะไม่เห็นตัวแม่ย่านางเรือ ชาวเรือต่างก็เชื่อถือกันว่าเรือนั้นจะต้องมีแม่ย่านางรักษาเรือและให้ความปลอดภัยและเป็นศิริมงคลแก่ฝีพายทั่วทุกคน เมื่อพิธีต่างๆ ผ่านไปก็เชิญเรือลงสู่น้ำเพื่อตรวจตราความเรียบร้อย และศรีสง่าแห่งเรือตลอดจนทดลองฝีพายว่าเรือนั้นจะแล่นลิ่วเพียงใด แล้วนำขึ้นมาเก็บไว้จนกว่าจะถึงใกล้กำหนดพิธี การแข่งเรือจึงได้เชิญลงสู่น้ำอีกหนหนึ่ง
การตั้งนามเรือนั้นมักอาศัยศุภนิมิตรเป็นที่ตั้งชื่อของเรือ บางลำอาจจะมีชื่อเพราะพริ้งราวกับนางฟ้าและเทพบุตร แต่บางลำนั้นออกจะมีชื่อที่น่ากลัว และเป็นที่เกรงขามต่อฝ่ายตรงข้ามไม่น้อยเหมือนกัน เช่นเรือที่มีชื่อเสียงบางลำในอดีต จะมีชื่อว่า “นางทอง” ซึ่งเป็นเรือสวยงามของชาวหลังสวน และเรือชื่อน่ากลัวเช่น “เดชสมิง” ก็เป็นเรือนำชัยชนะในการแข่งที่ไม่มีใครเอาชนะได้เลย การตั้งนามจึงต้องดูศุภนิมิตรเป็นส่วนใหญ่
เรือยาวที่ทำการแข่งขันในประเทศไทยปัจจุบันนี้ส่วนหนึ่งเป็นเรือยาวที่ขุดจากอำเภอหลังสวน หรือเป็นฝีมือช่างขุดเรือยาวจากอำเภอหลังสวนเป็นผู้ขุด แต่กว่าจะเป็นเรือยาวได้นั้นเป็นไปด้วยความยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็น เบื้องหลังการทำเรือยาวไม่ได้สวยงามเหมือนกับเรือยาวที่สำเร็จแล้วมาลอยล่องอยู่ในลำน้ำ อุปสรรคมีอยู่นานัปการ
จุดเริ่มต้นของการทำเรือยาว
ในลุ่มน้ำหลังสวน สาเหตุที่ต้องทำเรือยาวขึ้นมาก็เพราะ
- ๑. วัด หรือหมู่บ้าน หรือชุมชน ที่ไม่มีเรือยาวเข้าร่วมประเพณี
- ๒. เรือที่มีอยู่แล้ว หมดสภาพ ทรุดโทรม พายสู้เรือลำอื่นไม่ได้ ท้อแท้ หมดกำลังใจ จึงคิดจะหาเรือลำใหม่เพื่อหวังชัยชนะบ้าง
เจ้าอาวาส วัดต่างๆ หรือผู้นำหมู่บ้าน หรือผู้นำองค์กรปกครองท้องถิ่น จะมีการเรียกประชุมบุคคลระดับแกนนำหมู่บ้าน เพื่อปรึกษาหารือเรื่องการทำเรือลำใหม่ สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องพูดคุยกัน ก็คือ
๑. เรื่องเงิน ๒. เรื่องไม้ ๓. เรื่องช่างขุดเรือ
ทั้ง ๓ ข้อมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เมื่อเจรจาและหมดปัญหาเรื่องการเงิน ข้อที่สองก็จะตามมาคือ หาไม้ได้จากที่ไหน ขั้นตอนต่อมาเป็นการสืบเสาะหาไม้จากคำบอกเล่าของคนเดินป่า คนเลี้ยงช้าง เพื่อจะได้ทราบข่าวชัดเจน ว่าไม้อยู่ที่ไหนบ้าง เรื่องหาไม้นี้ นายช่างขุดเรือจะช่วยเหลือได้มาก ช่างบางคนจะรู้แหล่งไม้เป็นอย่างดี ช่างบางคนเคยเดินป่าเข้าไปดูไม้มาแล้วก็มี การจะดูไม้นั้น ต้องพาช่างขุดเรือไปดูด้วย ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องให้เงินกับผู้นำไปดูต้นไม้ ถ้าไม้ใช้ได้ก็ต้องจ่ายเป็นค่าชี้นำ การดูไม้นั้น มีขั้นตอนในการพิจารณาหลายอย่างเช่น
- ๑. ชนิดของไม้ ไม้ที่ประสงค์จะนำมาทำเรือยาวนั้นจะต้องเป็นไม้ตะเคียน แต่คุณสมบัติของไม้ตะเคียนแต่ละชนิดนั้นมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่น ถ้าเป็นไม้ตะเคียนทอง จัดว่าเป็นไม้ชั้นเยี่ยมในการทำเรือยาว รองลงมา ก็คือไม้ตะเคียนไพล ตะเคียนทราย ตะเคียนชานหมาก ตะเคียนสามพอน ฯลฯ
- ๒. กำลังไม้ ก็คือความใหญ่โตของลำต้น เหมาะสมเพียงพอกับการทำเรือยาวหรือไม่
- ๓. ความยาวของไม้ พอกับการทำเรือยาวหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้นายช่างขุดเรือจะมีความสามารถในการคำนวณความยาวของไม้ได้อย่างแม่นยำ
- วิธีการคำนวณต้นไม้ มีหลักการดังนี้
- ๓.๑ ยืนใต้โคนไม้ แหงนหน้ามองให้สุดสายตา แสดงว่า ไม้ต้นนั้นต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า ๑o วา
- ๓.๒ ใช้ลูกโป่งลอย วัดความยาวของสายเชือกที่ผูกลูกโป่ง
- ๓.๓ ถ้าภูมิประเทศเป็นที่โล่ง ใช้วิธีก้มมองลอดระหว่างขาทั้งสองข้าง ไปยังตำแหน่งของต้นไม้ที่เป็นเป้าหมาย เช่น กิ่งล่างสุดของต้นไม้ วัดคำนวณจากโคนต้น ห่างออกไป ๑ ก้าว ความยาวของไม้เท่ากับ ๑ วา
-
เรือยาวขนาด ๒๐ ฝีพาย ไม้จะต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า ๘ วา
เรือยาวขนาด ๓๒ ฝีพาย ไม้จะต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า ๑๐ วา
เรือยาวขนาด ๕๕ ฝีพาย ไม้จะต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า ๑๓ – ๑๕ วา
- ๔. ตำหนิของไม้ ตาไม้ กิ่ง ไม้เป็นโพรง คดงอ หรือไม่อย่างไร
- ๕. โค่นง่าย หรือยากอย่างไร มีหนทางชักลากหรือไม่ ไม้บางต้นตัดแล้ว ชักลากไม่ได้ เพราะสภาพพื้นที่เป็นหินเลื่อน ช้างเดินไม่ได้ พลาดพลั้งช้างอาจจะถูกไม้ลากตกเหว หรือเสี่ยงต่อชีวิตมากเกินไปก็ไม่สมควร
เมื่อผ่านขั้นตอนการดูไม้เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม้ใช้ไม่ได้ก็จะมีการนัดแนะวันเวลาเพื่อดูไม้ต้นอื่นต่อไป แต่ถ้าไม้ใช้ได้ ขั้นตอนต่อไปก็คือ การโค่นไม้ สำหรับเรื่องช่างขุดเรือนั้น นิยมช่างขุดเรือที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ
การโค่นต้นไม้
การโค่นต้นไม้จัดเป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำเรือยาว ในอดีตอุปกรณ์ยังไม่ทันสมัยต้องโค่นไม้ด้วยขวาน จะต้องจัดเตรียมสัมภาระเกี่ยวกับการโค่นไม้มากมายพอสมควร เสบียงอาหารสำหรับทีมงาม เตรียมที่พักในป่า ต้องมีผู้รู้ทางไสยศาสตร์เพื่อทำพิธีขอไม้จากป่า บวงสรวงเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา เชิญนางไม้ ฯลฯ จะต้องเตรียมเครื่องบวงสรวงสังเวย อันประกอบด้วย หมู เหล้า ธูปเทียน ดอกไม้ ด้ายแดงด้ายขาว หมากพลู ศาลเพียงตา
ไม้ตะเคียนบางต้นมีลักษณะพิเศษแปลกๆ เช่น มีจอมปลวก ขึ้นที่โคนต้นไม้นั้น บางต้นเป็นตะเคียนคู่ บางต้นใต้โคนสะอาดเตียนโล่ง ปราศจากต้นไม้ ใบไม้ใดๆ ลักษณะนี้จะต้องทำพิธีบวงสรวงเข้าทรง ขอต้นไม้ตามความเชื่อทางไสยศาสตร์และวิถีชาวบ้าน
มีผู้เฒ่าเล่าว่าไม้ตะเคียนไพลที่ใช้ทำเรือนางลำภู (เรือสังกัดวัดบางลำพู อ.หลังสวน จ.ชุมพร) ผู้รู้ทางไสยศาสตร์เข้าทรงขอไม้จากเจ้าป่า เจ้าป่าก็ขอสิ่งแลกเปลี่ยนแต่ไม่บอกว่าขอสิ่งใด เมื่อคณะโค่นไม้ไปโค่นต้นไม้ บิดาของพระอธิการเชื้อ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดบางลำภู ผู้ริเริ่มคิดทำเรือ ได้พายเรือข้ามคลองไปส่งสมาชิกกลุ่มโค่นไม้ และเป็นลมเสียชีวิต จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่วิถีชาวบ้านเชื่อว่า นั่นคือ สิ่งแลกเปลี่ยนที่เจ้าป่าต้องการ ฉะนั้นการโค่นต้นไม้จึงต้องให้ความสำคัญกับพิธีทางไสยศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน
ในอดีตการโค่นต้นไม้ด้วยขวาน จะต้องผูกนั่งร้านขึ้นสูงกว่าพูพอนและใช้คนโค่นพร้อมกัน ๒ หรือ ๓ คน ใช้เวลาประมาณ ๑-๒ วัน ไม้จะล้มลง สำหรับทิศทางที่จะให้ไม้ล้มลงนั้น จะต้องให้ล้มไปทางทิศอุดร อีสาน บูรพา อาคเนย์ ห้ามล้มไปทางทิศทักษิณ หรดี ประจิม และพายัพ เพราะเชื่อว่าทิศเหล่านี้ไม่เป็นมงคลสำหรับการทำเรือยาว
ปัจจุบันการโค่นต้นไม้ ไม่ได้คำนึงทิศทาง อาศัยความสะดวกและความเหมาะสม การโค่นต้นไม้โดยการใช้เลื่อยยนต์ทำได้ง่าย แต่สิ่งที่จะต้องรีบดำเนินการก่อนการโค่นต้นไม้ก็คือ
- ๑. ติดต่อเจ้าหน้าที่ของพื้นที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. เพื่อแจ้งให้ทราบ
- ๒. จ่ายเงินค่าต้นไม้ เพราะไม้ทุกต้นในป่าปัจจุบันนี้มีเจ้าของ
- ๓. ติดต่อเจ้าหน้าที่ราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น ป่าไม้ อุทยาน ตำรวจ ด่าน กองกำลังต่างๆ ที่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในพื้นที่ที่จะโค่นต้นไม้ และเส้นทางที่ไม้จะต้องผ่าน
เมื่อทุกอย่างสะดวก ปลอดภัย ผ่านขั้นตอนดังที่กล่าวมาแล้ว เป็นหน้าที่ของช่างเรือยาวที่จะบอกว่าจะให้ไม้ล้มตำแหน่งใด เพราะช่างจะมองเหลี่ยมของต้นไม้ ทำเครื่องหมายต่างๆ ไว้ ด้านไหนเป็นปากเรือ ท้องเรือ ไม้ล้มอย่างไรจึงจะโกลนเรือได้สะดวก เมื่อช่างขุดเรือปรึกษาหารือกับมือเลื่อยยนต์ชัดเจนแล้ว การโค่นต้นไม้ก็จะเริ่มขึ้น แน่นอนเสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นหวั่นไหว เสียงก้องเสียงสะท้อนได้ยินไปทั่วบริเวณขุนเขา แต่หน่วยรักษาป่า เจ้าหน้าที่ป่า กองกำลังต่างๆ จะไม่ได้ยินโดยเด็ดขาด ไม้จะล้มลงในตำแหน่งที่ช่างขุดเรือต้องการภายในเวลา ๑๐ – ๑๕ นาที ตั้งแต่เสียงเครื่องยนต์เริ่มทำงาน
การโกลนเรือ
ด้วยความชำนาญของช่างขุดเรือและมือเลื่อยไม้ จะไม่ถอนไส้โดยเด็ดขาด เมื่อไม้ล้มลงเป็นหน้าที่ของช่างเรือที่จะสำรวจดูไม้ว่ามีตำหนิอย่างไรบ้าง ช่างเรือจะวัดความยาวไม้ ให้ได้ขนาด วัดรอบลำต้น ส่วนปลาย ส่วนกลางและส่วนโคนต้น จากนั้นจะตัดไม้เป็นท่อนซุง ตามความยาวของเรือ มือเลื่อยจะทำหน้าที่เปิดหน้าไม้ซุง ให้เป็นปากเรือ ซึ่งอาจจะมีวิธีการที่แตกต่างกันตามความต้องการ ความถนัดของช่างแต่ละคน แต่วิธีที่นิยมใช้กันมากก็คือ เปิดหน้าไม้ซุงโดยวิธีการยืนบนซุงและแทงเลื่อยยนต์ เปิดไม้ให้คล้ายกับรูปไม้คาน หรือกระสวยทอผ้า
ขั้นตอนนี้ในอดีตต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งสัปดาห์เพราะจะต้องเริ่มตั้งแต่แกะเปลือกไม้ออก ตีทัด ๑ จากนั้นใช้ขวานถาก หรือใช้เลื่อยเปิดหน้าไม้ ตีทัดแนวโกลน บนปากเรือ ตัดแก้มหมูส่วนหัวและท้าย จากนั้นขุดร่องพื้น ตามแนวเส้นทัด โดยใช้ขวานปลี ขุดให้เป็นร่องตลอดแนวที่จะทำท้องเรือตั้งแต่หัวถึงท้ายเรือ เพื่อลดน้ำหนักของไม้ไห้มากที่สุด ปัจจุบันการขุดร่องพื้นทำได้ง่าย เพียงแต่ใช้เลื่อยยนต์แทงลงแนวที่จะทำท้องเรือให้เป็นรูปตัววี ซึ่งจะใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้ ก็จะใช้ระบบคานงัดพลิกไม้ เพื่อแต่งข้างและส่วนหลัง ในสมัยโบราณขั้นตอนนี้ทำได้ยากมาก ต้องใช้ขวานถาก ต้องช่วยกันหลายคนภายใต้การควบคุมของช่างเรือ แต่การโกลนโดยใช้เลื่อยยนต์ เพียงแต่แต่งรูปไม้ให้เป็นรูปหกเหลี่ยมก็พร้อมที่จะชักลากได้แล้ว ในอดีตนั้น เมื่อใช้ขวานถากข้าง ถากหลัง เสร็จก็จะทำการเบิกไฟป่า คือ ก่อไฟในท้องเรือบริเวณร่องพื้นให้ทั่ว ไฟอาจจะไหม้เนื้อเรือบางส่วน แต่เมื่อไม้ร้อนได้ขนาดตามที่ต้องการก็จะใช้ไม้ธงตีค้ำยัน เพื่อขยายปากเรือให้กว้าง จะมีประโยชน์ในการนำเรือโกลนล่องน้ำออกจากป่า
การชักลากเรือ
เมื่อโกลนเรือเสร็จเรียบร้อยจะต้องอาศัยแรงงานจากช้างชักลากเรือโกลนออกจากบริเวณที่โกลนเรือ ขั้นตอนนี้ต้องทำพิธีทางไสยศาสตร์ คือ ทำพิธีลาตอไม้ และเชิญแม่ย่านางไปกับเรือ สมัยโบราณต้องชักลากเรือโกลนไปหาแม่น้ำลำคลองเพื่อจะนำไม้ล่องไปสู่สถานที่ขุดเรือ แต่การชักลากด้วยช้าง ทำไปด้วยความยากลำบาก ป่าเขาพื้นที่ไม่ราบเรียบ ต้นไม้หนาแน่น บางครั้งต้องตัดไม้ถางทาง ต้องตัดไม้หมอนรองเรือโกลน เพื่อให้การชักลากลื่นไหลสะดวกขึ้น บางวันช้างชักลากได้เพียง ๒-๓ ช่วงลำเรือเท่านั้น การชักลากง่ายหรือยากขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ กว่าจะถึงจุดหมายคือแม่น้ำลำคลอง อาจจะต้องใช้เวลา ๒-๓ สัปดาห์ ปัจจุบันการชักลากเรือโกลน ใช้ช้างหรือรถแทรกเตอร์ รถแมคโคร(แบคโฮ) ลากออกจากป่าถึงบริเวณที่รถบรรทุกจะเข้าไปรับได้ โดยการใช้รถจอหนังบรรทุกซุง บรรทุกเรือโกลนไปยังสถานที่ขุดเรือต่อไป เมื่อเปรียบเทียบกับอดีตการชักลากในปัจจุบันทำได้ง่าย สะดวก และปลอดภัย แตกต่างจากสมัยโบราณเมื่อช้างลากเรือโกลนมาถึงแม่น้ำ จะต้องตัดไม้ไผ่ทำแพลูกบวบ ผูกขนาบเรือโกลนทั้งสองข้าง ล่องลงมาตามลำแม่น้ำใช้เวลา ๒-๓ วัน ตามแต่ความใกล้-ไกลของสถานที่ขุดเรือ เมื่อถึงที่หมายจะต้องหาช้างมาชักลากเรือโกลนขึ้นมาจากแม่น้ำ และต้องขอแรงงานจากชาวบ้านมาช่วยกัน เรือโกลนจึงจะขึ้นจากน้ำได้
เรือโกลนถึงสถานที่ขุดเรือ ก็เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก ขั้นตอนยุ่งยากที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว ผู้มีส่วนร่วมกับงานเสี่ยงชีวิตและเสี่ยงคุกก็จะพักผ่อนจนกว่าจะหายเหนื่อย
การขุดเรือ
เมื่อหายเหนื่อยจากการโกลนเรือและนำเรือมาถึงสถานที่ขุดเรือเรียบร้อยแล้ว การขุดเรือก็จะเริ่มขึ้น แต่เรือบางลำก็โกลนทิ้งไว้ประมาณ ๑-๒ ปี ด้วยเหตุผลคือ ต้องการให้ไม้แห้งสนิท หรือเป็นเพราะขาดทุนทรัพย์ก็ตามแต่ ขั้นตอนการขุดเรือเป็นหน้าที่ของช่างเรือ อาจจะมีช่างใหญ่ ๑ หรือ ๒ คน มีลูกมือ ๑ คน เมื่อทุกอย่างพร้อม ขั้นตอนการขุดมีดังนี้
- ๑. เตรียมทำหลังคา หรือกางเต็นท์สถานที่ขุดเรือที่ตั้งเรือโกลนไว้
- ๒. ปรับระดับเรือโกลนที่วางบนคาน โดยใช้ระดับน้ำให้ได้ตามที่ต้องการ
- ๓. วัดความยาวเรือ หาเส้นกลางเรือยาวหัว-ท้าย
- ๔. วัดความยาวของเรือตลอดลำหารสอง กึ่งกลางเรือเป็นตำแหน่งส่วน ๕
- ๕. วัดความยาวของเรือหารสาม จะได้ตำแหน่งส่วน ๓ หน้า และส่วน ๓ หลัง
- การลักส่วน คือ การตั้งส่วนเรือที่มีผลต่อการทำรูปเรือสมัยโบราณนิยมตั้งส่วนเรือลักส่วนไปหลัง คือ เลื่อนส่วน ๓ หน้า ส่วน ๕ และ ส่วน ๓ หลังไปทางท้ายเรือ ประมาณจุดละ ๒๐ นิ้วเท่ากัน จะได้เรือเป็นรูปปลาโทง ปัจจุบันเรือยาวนิยมทำเรือรูปปลาช่อน เพื่อให้ส่วนคอเรือใหญ่ สามารถสู้คลื่นได้ และรับน้ำหนักฝีพายได้ดี จะเลื่อนส่วนต่างๆ ไปทางหัวเรือจุดละ ๒๐ นิ้วเท่ากัน
- ๖. ทำเครื่องหมายตำแหน่งส่วนต่างๆ ให้ชัดเจน
- ๗. ตั้งวงปากเรือ เริ่มจากศูนย์กลางของหัวตัน ทางด้านหัวเรือ ลากผ่านหน้าจา ซึ่งหน้าจาจะมีความกว้างประมาณ ๑ คืบ ถึงคอตกเป็นเส้นตรง ความยาวประมาณ ๑๐ ชั้นตีน จากคอตกถึงคอถ่าย ตีเส้นบนปากเรือตามลาดเนินของปากเรือซึ่งโกลนไว้คล้ายกับไม้คาน ตำแหน่งคอถ่ายจะอยู่กึ่งกลางระหว่างส่วน ๓ กับคอตก ลากเส้นจากคอถ่ายไปตามความโค้งของเนื้อไม้ปากเรือถึงส่วน ๕ จากนั้นลากเส้นจากส่วน ๕ ไปสู่คอถ่าย คอตก หน้าจา ส่วนท้ายเรือ ถึงศูนย์กลางหัวตันด้านท้าย หน้าจา ท้ายเรือจะมีความกว้างประมาณ ๖ นิ้ว การตีเส้นปากเรือจะไว้แนวปากเรือให้มีความหนาของไม้ ๒ ๑/๒ ถึง ๓ นิ้ว
- ๘. ใช้ขวานปลี ขุดทะลวงในเรือตำแหน่งร่องพื้น ตั้งแต่หัวถึงท้ายให้ท้องเรือมีความโค้ง ตามที่ขวานปลีลงได้ เรียกวิธีการนี้ว่า การล้างใน แต่งปากเรือ ข้างเรือ ในกรณีที่เรือโกลนลำนี้ได้เบิกไฟป่ามาแล้ว
- ๙. เรือพลิกคว่ำบนคานแต่งหลังเรือโดยใช้เลื่อยยนต์ปาดตำแหน่งที่ไม่ต้องการออก ใช้ขวานถาก ใช้กบไฟฟ้าไสให้ได้หลังเรือ ข้างเรือ ตามรูปที่ช่างขุดเรือต้องการ
- ๑๐. เจาะรูสิ่วทั้งลำ โดยใช่สว่านเจาะลึกเท่ากันหมดประมาณ ๒ ๑/๒ นิ้ว เป้าหมายของการเจาะรูสิ่วก็คือ ทำให้เนื้อเรือเท่ากัน เจาะเป็นแถวตามแนวโค้งของลำเรือ แต่ละรูห่างกันประมาณ ๑ คืบ รูสิ่วแต่ละแถวห่างกันพอสมควร ตามความพอใจของช่างขุดเรือ คนโบราณเชื่อว่า รูสิ่วแต่ละแถวตั้งแต่หัวเรือถึงท้ายเรือมีความหมายมาก ถ้าไม่ตรงกับตำราจะมีโทษ เช่น เรือยาวจะต้องนับแถวให้ลงที่คำว่า ชัยกัง เรือสั้นจะต้องให้ลงที่คำว่า สุขขัง ถ้าลงที่คำว่า วิวาทัง จะมีการทะเลาะวิวาทในเรือ ถ้าลงที่คำว่า มรณัง จะต้องมีการตาย ฉะนั้น นับรูสิ่วจากหัวเรือแถวแรกเป็น ชัยกัง แถวที่สองจะเป็น วิวาทัง แถวที่สามเป็น มรณัง แถวที่สี่จะเป็น สุขขัง เชื่อหรือไม่แล้วแต่ท่านจะพิจารณา โบราณกล่าวไว้เช่นนั้น
- ๑๑. เมื่อเจาะรูสิ่วเสร็จแล้ว หงายเรือ ใช้ขวานปลีขุดในท้องเรือให้ถึงรอยเจาะรูสิ่ว จะได้เนื้อเรือเท่ากันตลอดลำ แต่งปากเรือ ถึงขั้นตอนในปัจจุบันใช้เวลาประมาณ ๑๐ วัน อดีตใช้เวลาในการขุดเรือในขั้นตอนนี้ไม่น้อยกว่า ๒ – ๓ เดือน
การเบิกเรือ
เมื่อผ่านขั้นตอนการขุดเรือเบื้องต้นแล้ว ก็จะถึงขั้นตอนสำคัญคือการเบิกเรือ ช่างขุดเรือหลังสวนจะใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่ถ่ายทอดมานับ ๑๐๐ ปี คือ เบิกเรือด้วยไฟ
- ๑๒. เมื่อขุดในท้องเรือด้วยขวานปลีถึงรูสิ่วตลอดลำเรือแล้ว แต่งปากเรือให้ได้รูปพอสมควร ใส่ลูกกำในรูสิ่วให้มีความยาว ๒ นิ้ว
- ๑๓. ขุดคูบริเวณพื้นดินข้างลำเรือขนาดกว้าง ๑ ฟุต ลึก ๑ ฟุต ยาวเท่าลำเรือ
- ๑๔. พลิกคว่ำเรือบนร่องที่ขุดเตรียมไว้
- ๑๕. ก่อไฟตลอดในร่องคู เพื่อให้เนื้อไม้ร้อน แต่อย่าให้ไฟไหม้เนื้อไม้ เชื้อเพลิงใช้เศษไม้จากการขุดทำเรือ กาบมะพร้าว แกลบ แต่เชื้อเพลิงที่ดีที่สุดคือ ถ่าน เพราะจะให้ความร้อนเท่ากัน
- ๑๖. เมื่อเนื้อไม้ร้อนได้ตามที่ต้องการ ก็หงายเรือ ใช้เกลียวเร่งเบิกท้องเรือ ปากเรือ ใช้ไม้ธงค้ำยันส่วนที่ขยายออก
- ๑๗. ใช้ขวานปลี ขุดหาตำแหน่งลูกกำ ตลอดลำเรือ จะได้เนื้อเรือหนาเท่ากัน
- ๑๘. แต่งปากเรือ เปลี่ยนลูกกำให้มีความยาว ๑ นิ้ว ๒ หุน ถึง ๑ นิ้วครึ่ง
- ๑๙. คว่ำเรือ แต่งหลังเรืออีกครั้งตามความต้องการ
- ๒๐. เบิกไฟ ใช้เกลียวเร่งขยายปากเรือ ท้องเรือตามรูปที่ต้องการ ใช้ขวานปลีขุดหาลูกกำ จะได้ความหนาเนื้อเรือประมาณ ๑ นิ้ว ๒ หุน แต่งกระดูกงู ที่ความหนา ๒ นิ้ว แต่งปากเรือ ใช้แม่ถาก แต่งในลำเรือให้เรียบ
- ๒๑. ถึงขั้นตอนนี้ถ้าเนื้อเรือไม่พอก็จะทำการตัดตัดเสริมเนื้อต่อกราบแข็ง ถ้าเนื้อเรือมีตำหนิก็จะซ่อมแซมให้เรียบร้อย เรือยาวในอดีตจะพบปัญหาเรื่องกำลังไม้ไม่พอด้วยเหตุเพราะไม้ขนาดใหญ่จะเอามาทำหรือไม่ได้มีปัญหาเรื่องการชักลาก เรือยาวรุ่นเก่าๆ จะต้องเสริมหัวและท้าย ไม้ที่นำมาเสริมเรียกว่า ขาค่าง
- ๒๒. เหลาไม้อุดรูสิ่วทุกรู นิยมใช้ไม้ที่ทำเรือเพราะเนื้อจะเหมือนกัน
- ๒๓. พลิกคว่ำเรือแต่งหลังเรือตลอดลำอีกครั้ง เพื่อให้ได้รูปเรือตามความพอใจ
- ๒๔. หงายเรือ ขัดท้องเรือให้เรียบร้อยสวยงามตามความต้องการ
- ขั้นตอนการเบิกเรือในสมัยโบราณ จะต้องใช้เวลาประมาณ ๑ – ๒ เดือนจึงจะเสร็จ แต่อุปกรณ์ที่ทันสมัยในขณะนี้ใช้เวลาประมาณ ๒ – ๓ สัปดาห์ก็จะเสร็จ
- หมายเหตุ เมื่อเรือเสร็จเรียบร้อยกำลังเรือ ๕๔ นิ้ว
-
ปากเรือกว้างที่สุด ๓๙ นิ้ว
ส่วนสูงจากกระดูกงูตั้งฉากถึงปากเรือที่ส่วน ๓ หน้า ๑๓ ๑/๒ นิ้ว
ส่วนสูงจากกระดูกงูตั้งฉากถึงปากเรือที่ส่วน ๓ หลัง ๑๓ นิ้ว
ส่วนสูงจากกระดูกงูตั้งฉากถึงปากเรือที่ส่วน ๕ ๑๓ ๑/๒ นิ้ว
- ถึงตอนนี้นายช่างเรือจะเตรียมทำลูกสักเรือ ไม้ที่นิยมทำลูกสัก คือ ไม้ขี้เหล็ก ไม้แสมสาน ไม้ขานาง โคนไม้ไผ่ตง โคนไม้ไผ่สีสุก ลูกสักจะถากเป็นแปดเหลี่ยม ยาว ๖ นิ้ว หัวโต ปลายเท่ากับรูสว่าน
- ๒๕. การติดกระทงเรือ โดยเริ่มกระทงตัวแรกที่ส่วน ๓ หน้า เรือ ๓๒ ฝีพายติดกระทง ๒๑ ตัว ระยะห่างของกระทงแต่ละตัวเท่ากับความยาวเรือหารด้วย ๒๑ การตั้งกระทงเรือ จะตั้งส่วนว่าวหรือส่วนปลาขึ้นอยู่กับความพอใจของช่างเรือ
- ส่วนปลา วัดจากส่วน ๓ หน้า มาทางหัวเรือครึ่งกำลังเรือ วางกระทงเรือไปข้างหน้า
- ส่วนว่าว วัดจากส่วน ๓ หน้า มาทางท้ายเรือครึ่งกำลังเรือ วางกระทงเรือไปข้างหลัง
การวางกระทง เริ่มจากส่วน ๓ หน้าไปหาหัวเรือ เมื่อเสร็จแล้วจะวางกระทงจากส่วน ๓ หน้า มาหาท้ายเรือ การติดกระทงเรือเป็นเพียงการตัดไม้ขนาด ๑ นิ้ว x ๖ นิ้ว ความยาวเท่ากับ ความกว้างของปากเรือในแต่ละตำแหน่งที่กำหนดไว้ ขั้นตอนนี้ฟังดูง่ายๆ แต่เคยมีช่างไม้หลายคนอาสาตัดกระทงเรือและต้องทิ้งเครื่องมือหนีเพราะตัดไม้ให้เข้ากับส่วนโค้งของเรือไม่ได้ สำหรับช่างเรือแล้วการติดกระทงเรือ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ
การติดกระทงกับตัวเรือ ใช้วิธีการเจาะรูจากกระทงเฉียงให้ทะลุข้างเรือ ใช้ลูกสักตีจากด้านนอกเรือเข้าไป ตัดปลายลูกสักบนกระทง ผ่าลูกสักตีย้อนกลับเพื่อให้กระชับแน่น กระทงเรือ ๑ ตัว ใช้ลูกสักตี ๔ ตัว เพื่อต้องการให้เรือแข็งตัวอาจจะต้องใส่กงเรือบริเวณส่วนสำคัญ เช่น ส่วน ๓ ส่วน ๕ เป็นต้น แต่คนโบราณห้ามไม่ให้วางกงทับส่วนเรือ โดยกล่าวว่าจะเป็นตัวเสนียด แสดงว่า คนโบราณฉลาดเพราะถ้าวางกงทับตำแหน่งสำคัญ ต่อไปจะหาตำแหน่งนั้นไม่ได้อีกแล้ว
เรือยาวในปัจจุบันนิยมใช้ไม้ขนาด ๑ ๑/๒ นิ้ว x ๒ นิ้ว ทำเป็นราวยึดติดกระทงเรือตั้งแต่กระทงที่ ๔ ถึงกระทงที่ ๑๗
การติดกราบอ่อน จะใช้ไม้ขนาด ๑/๒ นิ้ว x ๖ นิ้ว ยาวตลอดลำ ติดทั้งสองข้างกราบเรือ ติดธงเหินกระดานหัวเรือ ติดไม้ป้องท้าย เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นตามขั้นตอนที่กล่าวมาแล้วก็จะเป็นตัวเรือที่สมบูรณ์
โขนเรือ ไม้ที่จะทำโขนเรือจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- ๑. น้ำหนักเบา
- ๒. เนื้อไม้เหนียวทนต่อการรับน้ำหนักได้ดี
- ๓. อายุการใช้งาน ใช้ได้นาน ไม่ผุ
ช่างขุดเรือยาวหลังสวนนิยมใช้ไม้เนียง ไม้กระท้อน ทำโขนเรือเพราะมีคุณสมบัติดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น การทำโขนเรือยุ่งยากพอสมควร ต้องตัดแต่งรูปโขนให้เข้ากับหัวเรือ ต้องใช้ความชำนาญจึงจะทำได้ดี ช่างเรือบางคนต้องทำนั่งร้าน เพื่อรองรับโขนเรือ โดยเฉพาะโขนหัว เพื่อความสะดวกไม่ต้องยกขึ้นลงบ่อยๆ ในขณะที่ทดลองติดตั้ง จะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า ไข่แมว เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างโขนเรือกับตัวเรือ สำหรับโขนท้ายใช้ไม้อะไรก็ได้ที่มีน้ำหนักเบา เพราะโขนท้ายทำเพื่อความสวยงามเท่านั้น เมื่อติดโขนหัว โขนท้ายเข้ากับตัวเรือเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นงานตกแต่ง ทำสี เขียนลวดลายเพื่อความสวยงาม
กว่าจะได้เรือยาวไว้เป็นสมบัติของวัดหรือของหมู่บ้าน ต้องใช้ความมานะพยายาม ร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ความสามัคคีของสมาชิกในสังคมสุดความสามารถ ในอดีตเรือยาว ๑ ลำ ใช้เวลาในการทำไม่น้อยกว่า ๕ – ๖ เดือน ปัจจุบันใช้เวลาในการทำเรือเพียงประมาณ ๔๕ วันเท่านั้น เรือยาวก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว