ประวัติ
งานประเพณีแห่พระแข่งเรือขึ้นโขน-ชิงธง ชิงโล่และถ้วยพระราชทาน อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร
กัณฐ์เกษม จาวยนต์/ อภิศักดิ์ ธุลีวรรณ : เรียบเรียง

วิถีชีวิตของคนไทยผูกพันอยู่กับสายน้ำมาเนิ่นนาน เห็นได้จากวัฒนธรรมหรือประเพณีที่เกี่ยวข้องกับน้ำเสมอ โดยทั่วไปแล้วเรามักได้ยินคำกล่าวว่า “เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง เดือนอ้ายเดือนยี่ น้ำก็ลี่ไหลลง” เป็นคำกล่าวที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติหรือระหว่างคนกับสายน้ำได้เป็นอย่างดี ในสมัยโบราณภายหลังที่ผู้คนว่างเว้นจากกิจกรรมการเพาะปลูกทำนา และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อถึงเทศกาลออกพรรษา ก็จะมีการทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ราวเดือนสิบถึงเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นช่วงฤดูน้ำมาก ชาวบ้านที่อยู่ริมน้ำจะใช้เรือเป็นพาหนะแห่แหน นำองค์กฐิน องค์ผ้าป่าไปยังวัด เมื่อเสร็จพิธีการทางศาสนาแล้ว ก็จะมีการเล่นแข่งเรือกัน
ได้มีการบันทึกไว้ว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้เริ่มจัดให้มีการแข่งเรือในเดือน ๑๑ ของทุกปี ซึ่งเป็นฤดูน้ำหลาก และถือเป็นพระราชพิธีประจำเดือน โดยเฉพาะในรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถที่โปรดให้มีการแข่งขันเรือของบรรดาทหาร เพื่อถือเป็นการฝึกซ้อมความแข็งแรงในยามไม่มีศึกสงคราม เรือลำใดชนะก็จะพระราชทานรางวัลให้เป็นขวัญและกำลังใจ แต่เดิมพระราชพิธีแข่งเรือจะกระทำขึ้นสำหรับพระมหากษัตริย์ เป็นการแข่งเรือหน้าพระที่นั่ง แต่ในยุคหลัง ๆ ได้เผยแพร่และปรับเปลี่ยนมาสู่การแข่งเรือโดยชาวบ้านทั่วไป

การแข่งขันเรือยาวขึ้นโขนชิงธง ที่สนามแม่น้ำหลังสวน ท่าน้ำวัดด่านประชากร เป็นกีฬาพื้นบ้านและประเพณีท้องถิ่นของชาวลุ่มน้ำหลังสวน ที่ได้จัดสืบทอดกันมายาวนานมากเช่นกัน ได้มีการบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่เป็นข้อสันนิษฐานและบันทึกไว้เป็นประวัติว่า การแข่งขันเรือยาวของเมืองหลังสวน คงจะเกิดขึ้นตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๓๘๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะในช่วงนั้นได้เกิดวัดขึ้นหลายวัดโดยเฉพาะตามริมแม่น้ำ และได้ประกอบพิธีการทำบุญแห่พระ หรือลากพระ ในวันออกพรรษา
มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่อ้างอิงได้ว่าการแข่งขันเรือยาวประเพณีของหลังสวน ได้มีประวัติความเป็นมายาวนานและสืบทอดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาเกือบ ๒ ศตวรรษ เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้เสด็จประพาสหัวเมืองภาคใต้ทางชลมารค เมื่อถึงเมืองหลังสวนซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒) พระจรูญราชโภคากร (คอซิมเต็ก ณ ระนอง) เจ้าเมืองหลังสวนในขณะนั้น (ต่อมาได้เป็ นพระยาจรูญราชโภคากร) ได้จัดขบวนเรือไปรับเสด็จจากปากอ่าวไทย เพื่อนำเรือกลไฟพระที่นั่งทอนิครอฟต์ ล่องเข้ามาตามแม่น้ำหลังสวน และเสด็จขึ้นประทับที่พลับพลาบางขันเงิน ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องเสด็จประพาสแหลมมลายู ฉบับที่ ๔ วันที่ ๑๐ สิงหาคม ร.ศ. ๑๐๘ ซึ่งเป็นปีที่ ๒๒ ของรัชกาล ความตอนหนึ่งว่า
“...วันที่ ๙ เวลาเช้า ๒ โมง ทอดสมอที่หน้าเมืองหลังสวน แลเห็นแหลมประจำเหียงข้างเหนือ แหลมบังมันเขาพะสงข้างใต้ เป็นปลายขอบเหมือนหนึ่งอ่าวกว้างๆ ที่ตรงกลางที่เป็นเมืองหลังสวนมีเขาซับซ้อนกันมาก…......เวลาเที่ยง ๒๕ มินิต ขึ้นบก เรือทอนิครอฟต์ลากตามร่อง ขึ้นข้างเหนือสิบแปดมินิตถึงปากช่องลำน้ำ เขา ปลูกพลับพลาไว้สองหลัง หลังนอกมีช่อฟ้าใบระกา แต่ไม่ได้แวะขึ้น เรือที่มารับบรรทุกข้าวของและนำร่อง มีเรือโขนอย่างบ้านนอกสองลำ โขนทาสีเขียนลายมีผ้าหน้าและขู่ด้ายดิบผูกธงแดงเล็กๆ ตรงกับพู่ขึ้นมาข้างหน้าท้ายข้างละสองคัน ลำหนึ่งอยู่ใน ๒๕-๒๖ พาย เห็นจะเป็นเรือแข่ง..."””
เรือโขนสองลำที่ได้รับเกียรติให้เป็นเรือพายร่วมรับเสด็จ คือ “เรือมะเขือยำ” สังกัดวัดดอนชัย และ “เรือศรีนวล” สังกัดวัดในตำบลปากน้ำ เพราะเป็นเรือที่ชนะในการแข่งขันบ่อยๆ ในสมัยนั้น ปัจจุบันเรือมะเขือยำ ลำนี้ยังอยู่ในสภาพดี โดยทางวัดและองค์การบริหารส่วนตำบลพ้อแดง ได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไม่ได้ส่งลงทำการแข่งขันแล้ว แต่เป็นเรือเกียรติยศพายนำขบวนพาเหรดเรือทางน้ำ ในพิธีเปิดการแข่งขันเป็นประจำทุกปี ส่วนเรือศรีนวลผุพังไปแล้ว



งานแห่พระแข่งเรือทั้งทางบกและทางน้ำนั้นเป็นการแสดงถึงความสามัคคีที่ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาแต่กาลก่อนโน้น การลากพระหรือชักพระ นั้นเป็นประเพณีพิธีการบุญอย่างหนึ่งของชาวปักษ์ใต้ซึ่งแต่เดิมนั้นเรียกว่างาน “ลากพระ” เหตุที่การเรียกงานลากพระนั้น ก็เห็นจะเนื่องจากได้อัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานบนรถที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และมีดอกไม้บูชาประดิษฐ์ตกแต่งรอบๆองค์พระ จากนั้นก็มีคนหนุ่มคนสาวและผู้เฒ่าผู้แก่ ลากรถประดิษฐานพระนี้ไปตามถนนที่มีประชาชนต่างมาคอยทำบุญกันอย่างเนืองแน่น ด้วยเหตุนี้เองจึงเรียกว่า “งานลากพระ หรือ ชักพระ” แต่ในเวลาต่อมาได้ใช้คำพูดให้ไพเราะแก่ผู้ฟังขึ้น จึงได้เรียกกันว่า “งานแห่พระ” เป็นงานที่ชาวภาคใต้จะเว้นเสียมิได้เลย และในปีหนึ่งนั้นจะจัดขึ้นเพียงครั้งเดียว นับว่าเป็นพิธีการทำบุญที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร ที่รวมชาวตำบลและอำเภอข้างเคียงมาชุมนุมกันนับจำนวนเป็นหมื่นๆ มีทั้งเด็ก หนุ่มสาว และพ่อแก่แม่เฒ่า ต่างได้แต่งกายด้วยสีสันอันตระการตา มุ่งหน้ามาทำบุญร่วมกันในงานอันยิ่งใหญ่นี้ของชาวปักษ์ใต้ และได้มาหาความสนุกสนาน จากงานอันเป็นมงคลฤกษ์ ของชาวปักษ์ใต้อย่างคับคั่ง


งานแห่พระนั้นได้เริ่มต้นในวันที่ตรงกับวันออกพรรษา หรือที่เรียกกันว่า “วันปวารณา” อันวันนี้ได้ปรากฎเรื่องรวมในพุทธศาสนา “เทโวโรหนสูตร” ว่า ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จจากดาวดึงส์สู่เมืองสังกัสสนคร ภายหลังที่พระองค์ทรงจำพรรษาอยู่บนชั้นดาวดึงส์หนึ่งพรรษา (๓ เดือน) เพื่อทรงเทศนา "พระสัตตปรณาภิธรรม" คือพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โปรดองค์สมเด็จพระพุทธมารดาศิริ มหามายา (ที่ทรงบังเกิดอยู่ในสวรรคชั้นดุสิต) ซึ่งชาวพุทธศาสนาได้ถือเป็นวันออกพรรษา และเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาสู่มนุษย์โลก พวกเทวดาและมนุษย์ได้ไปชุมนุมรอรับเสด็จกันอย่างคับคั่งด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ พร้อมด้วยการบำเพ็ญกุศลตักบาตรทำบุญด้วยอาหารและเครื่องบูชา ดอกไม้ธูปเทียนและได้มีการเฉลิมฉลองเป็นการสมโภชด้วยมหรสพนานา พร้อมทั้งพระสงฆ์ก็ได้ไปร่วมรอรับเสด็จด้วยความปราโมทย์ ต่อองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า
ฉะนั้น ในวันนี้ซึ่งเป็นวันอันสมมติ ประชาชนได้ออกมาทำบุญตักบาตรและถวายเครื่องบูชาแด่พระพุทธรูปและภิกษุสงฆ์ ด้วยการจัดพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นสู่บัลลังราชรถแล้วลากจูงกันไป พร้อมติดตามด้วยสาวกภิกษุสงฆ์ติดตามราชรถของพระพุทธรูป เพื่อให้ประชาชนได้ตักบาตรทำบุญ และได้มีมหรสพฉลองกันเป็นงานใหญ่ประจำปีตลอดมา




เฉพาะการแห่พระของอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพรนี้ ได้กระทำการทำบุญตักบาตรกันในตอนเช้าของวันออกพรรษา ได้จัดขบวนแห่พระด้วยรถประดับสวยงามเป็นจำนวนหลายคัน และหลายตำบล หลายองค์กรหน่วยงานได้นำมาเป็นการประกวดประชันกันอีกด้วย การแห่พระนี้มิได้กระทำแต่ในทางบกอย่างเดียว ในทางน้ำนั้นได้จัดเรือขบวนแห่อย่างสวยงามจากหลายตำบลมารวมกัน
โดยเฉพาะแล้วการแห่ทางน้ำเมื่อครั้งในอดีตนั้น นับว่าเป็นงานสนุกสนานที่สุด เพราะได้มีเรือต่างๆ เข้าร่วมขบวนแห่อย่างมากมายจนเต็มลำน้ำ และยังประกอบด้วยเรือฝีพายสำหรับแข่ง และประกวดความสวยงามอีกด้วย ต่างมุ่งหน้ามาสู่ลำน้ำหลังสวนจากสารทิศต่างๆ ประกอบด้วยทิวทัศน์สองข้างทางของลำน้ำหลังสวนอันคดเคี้ยวเต็มไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามยิ่งนัก และในวันนี้ทั้งสองฝั่งน้ำจะเต็มไปด้วยผู้คนยืนกันเต็มทั้งสองฝั่งนับจำนวนเป็นพันๆหมื่นๆอีกด้วย เพื่อมาสนุกสนานกับการแห่พระแข่งเรือประเพณีอันสำคัญนี้ ในลำน้ำประกอบด้วยเรือนานาชนิด บ้างก็พายชมความงามของลำน้ำ บ้างก็จัดฝีพายเข้าแข่งขัน บ้างก็ลอยลำร้องเพลง เชียร์เรือแข่ง หนุ่มสาวต่างก็ได้มีโอกาสออกมาพบปะกันอย่างอิสระในวันสำคัญนี้ ด้วยการพายเรือหยอกล้อกันอย่างมีความสุขเป็นวันที่ปราศจากการถือตัว เพราะทุกคนต้องการความสนุกสนานสามัคคีแม้ว่าจะเกินเลยกันบ้างก็อภัยให้แก่กันตลอดมา
ทุกคนชาวปักษ์ใต้จึงได้ภาวนาขอให้ถึงวันแห่พระแข่งเรือกันเสียโดยเร็ว ในงานทำบุญอันประเสริฐนี้ได้แสดงถึงวัฒนธรรมของชาวใต้ที่ร่วมกันรักษามาไว้เป็นเวลาร้อยปีเศษที่ทำให้ทุกคนมีจิตใจผ่องแผ้ว รักและสามัคคีต่อกันตลอดมา แม้แต่ท่านเจ้าคุณพระเทพวงศาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดขันเงิน และอดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพรที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ได้กล่าวก่อนมรณภาพ ขอให้ชาวปักษ์ใต้ได้รักษาประเพณีการแห่พระแข่งเรือไว้อย่าให้ได้สูญสลาย เพื่อแสดงถึงวัฒนธรรมประเพณีของชาวปักษ์ใต้ ที่ได้ร่วมมือร่วมใจแสดงถึงความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดไป
